ตำรวจค้นห้องร้อยโททหาร พบของกลาง ทรัพสินผู้ตายและผลพิสูจน์พบรอยนิ้วมือในห้องคนตาย มัดตัวผู้ต้องหาแน่นหนา  จากกรณีเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา วันที่ 7 เม.ย. 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.รัตนาธิเบศร์ ได้รับแจ้งเหตุหญิงถูกฆ่าปาดคอ กระหน่ำแทงด้วยอาวุธมีดตามร่างกาย และใบหน้า เหตุเกิดภายในคอนโดแห่งหนึ่ง ซอยนนทบุรี 18/1 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงพร้อมด้วยแพทย์สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดนนทบุรี และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูรีบตรวจสอบ  ที่เกิดเหตุบริเวณชั้น 10 ภายในห้องพบร่างผู้เสียชีวิต ทราบชื่อคือ น.ส.อัญพัชญ์ บารมีเลิศรัตน์ อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นเซลล์ขายของ และเป็นแม่ค้าออไลน์ รูปร่างหน้าตาดี ถูกคนร้ายปาดคอ กระหน่ำแทงตามร่างกาย ทั้งใบหน้า หน้าอก นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่ภายในห้อง โดยพบข้าวของกระจัดกระจายจากการรื้อค้น เจ้าหน้าที่ ตำรวจสภ.รัตนาธิเบศร์ เข้าตรวจสอบ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.00 น. ที่ผ่านมา  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ ได้ควบคุมตัว ร.ท.จิระวัฒน์ นายทหารฝ่ายงบประมาณ กองบัญชาการกองทัพไทย ผู้ต้องสงสัยคุณคาดว่าจะเป็นฝันร้ายในคดีนี้ และได้นำตัว ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ภายในคอนโดแห่งหนึ่ง ซอยนนทบุรี 18/1 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ชั้น 12 ซึ่งเป็นห้องพักของร.ท.จิระวัฒน์ เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติม โดยระหว่างควบคุมตัว ร.ท.จิระวัฒน์ มีสีหน้าที่เคร่งเครียด ผู้สื่อข่าวได้สอบถามบาดแผลที่บริเวณใบหน้า แต่ทาง ร.ท.จิระวัฒน์ ไม่ตอบคำถามใดๆ บอกเพียงว่าไม่รู้จักกับผู้เสียชีวิตมาก่อน และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ น.ส.อัญพัชญ์ บารมีเลิศรัตน์ อายุ 47 ปี แต่อย่างใด  ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 67 ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ พันตำรวจเอกพิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผู้กำกับ สภ.รัตนาธิเบศร์  ได้ตรวจสำนวนของคดี นี้ร่วมกับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี พร้อมเร่งรัดพิมพ์เอกสารการส่งตัวผู้ต้องหาไปยังศาลทหาร กรมพระธรรมนูญ โดยทางพันตำรวจเอกพิสุทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารต่างๆจนครบถ้วนแล้ว รวมทั้งสอบพยาน ไปจนเสร็จสิ้น แม้ผู้ต้องหาจะปฏิเสธก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ฆ่าคนตายโดยเจตนา ส่วนหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมได้ เช่นบาดแผลที่ใบหน้า ของผู้ต้องหาทางเราก็ได้เก็บ DNA เอาไว้แล้วผลจะออกภายในไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็ทำเรื่องเร่งรัดขอให้เร็วกว่านี้ แต่อยู่ที่เจ้าหน้าที่คงต้องรอผล  ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ 10 เม.ย.67 เวลา 12.00 น. พันตำรวจเอกพิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผกก. พ.ต.ท.ภาสกร ไชยทวีวงศ์ รองผกก.สส. พ.ต.ท.ทองรชฎ เหรียญสุวงษ์ รอง ผกก.ปป. สภ.รัตนาธิเบศร์ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและปราบปราม รวมทั้งตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน กว่า 50 นาย รวมทั้งแฟนสาวของร.ทจิระและญาติของผู้เสียชีวิต เดินทางมาเป็นสักขีพยานในการตรวจค้น ยังคอนโดแห่งหนึ่ง ชั้น 12 ซึ่งเป็นที่พักของร้อยโทจิระ ผู้ต้องหา ใช้เวลาในการตรวจค้นกว่า 1 ชั่วโมง พบทรัพย์สินของผู้ตายนางสาวอัญพัชร์  ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง พร้อมพระเลี่ยมทองที่ถูกแยกออกจากกันโดยสร้อยคอถูกซุกอยู่ใน หน้าอกหุ่นยนต์บนหิ้ง วางของ พระเลี่ยมทองคำพร้อมกำไล ข้อมือทองคำถูกห่อไว้ในผ้าขนหนูบนหัวเตียง รวมทั้งโทรศัพท์มือถือของคนตายจึงรวบรวมเก็บไว้เป็นหลักฐาน  พ.ต.อ.พิสุทธิ์ กล่าวว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนร่วมกับภูธรจังหวัดนนทบุรีทำงานอย่างหนัก จนได้หลักฐานครบถ้วนแล้วแม้ผู้ต้องหาจะปฏิเสธก็ตามในวันนี้เราแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคือ ฆ่าชิงทรัพย์,บุกรุกเคหะสถานยามค่ำคืน โทษสูงสุดคือประหารชีวิต ตอนนี้ผลตรวจลายนิ้วมือกับรอยเท้า ที่ห้องของผู้เสียชีวิตพบรอยเท้าและลายนิ้วมือตรงกับของผู้ต้องหา ในชั้นนี้จึงพิสูจน์แล้วว่า ร้อยโทจิระ เป็นผู้ก่อเหตุในคดีนี้ เนื่องจากหลักฐานทุกอย่างชัดเจนครบถ้วน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นทหาร จึงถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศาลทหาร ทางพนักงานสอบสวนของเรามีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งให้อัยการศาลทหารเป็นผู้พิจารณา ก่อนให้ศาลทหารเป็นผู้พิจารณา ลงโทษตามกฎหมาย  ขณะที่ในวันนี้มีร้อยเอกทหาร ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของร้อยโทจิระเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจค้นและยอมรับว่าประจักษ์พยานหลักฐานแน่นหนา แต่ตนเองก็แปลกใจ ในวันที่ตนได้พูดคุยกับร้อยโทจีระและสอบถามเหตุการณ์เขาเขาก็ยังปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำ วันนี้ได้มาดูการตรวจค้นและเจอหลักฐานต่างๆ ในห้องของร้อยโทจิระจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนยอมรับว่า คดีนี้คงดิ้นไม่หลุดแน่นอน

กำไรที่ไม่มีอยู่จริง สืบนครบาลรวบอารียาบางไผ่  บัญชีม้า 300 บาทโดนคุกอ่วมนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร.  ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์  ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการฉ้อโกลหลอกลวงประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึง บัญชีม้า ที่เป็นโรคระบาดเชื้อร้ายทำร้ายความสงบสุขของประชาชนในสังคมในวงกว้าง          เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งให้พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.บช.น, พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ รอง ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.อดุลย์ ดอกพวง ผกก.สส.4  บก.สส.บช.น. , ,พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง รอง ผกก.สส.4ฯ , พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์ รอง ผกก.สส.4ฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภัทร  บุญอารักษ์ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ช่วยราการ กก.4ฯ , ร.ต.อ.ณพวิทย์ ดิษฐ์ป้าน รอง สว.กก.สส.4ฯ , ร.ต.ต.เด่น ภูมิคอนสาร รอง สว. ดำเนินการจับกุม           น.ส.อารียา อายุ 20 ปีพูมิลำเนาแขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม.ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอ่างทอง ที่ 64/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567          ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น,โดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน,เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี,โอนรับโอนหรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่บุคคลสองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ”         สถานที่จับกุมบริเวณ หน้าบ้าน ม.7 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กทม.         พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2566 ผู้เสียหาย ได้เห็นโฆษณาใน Facebook ที่ใช้ซื้อบริษัท Facebook Shop ซึ่งอ้างว่าเป็นงานสั่งซื้อขายสินค้าในระบบ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บไซต์ รอระบบ AI ทำการสั่งซื้ออัตโนมัติ 3-5 นาที ก็สามารถรับเงินปันผลเป็นกำไรได้ และได้รับค่าคอมมิชชั่น 10-50 % ของเงินฝาก โดยฝาก 1 ครั้ง และถอน *1 ครั้ง (เงินต้น + เงินปันผล) โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการชื่อ น.ส.พิไลรัตน์ ชาลีชาติ เป็นผู้แนะนำระบบการทำงานการสร้างรายได้ และให้ทำการลงทะเบียนในเว็บ https://coupangthai666-job.com และผูกบัญชีเงินฝากของธนาคารกสิกรไทยไว้ในระบบในครั้งที่ 1 โดยลงทุนไป 500 บาท สามารถถอนเงินลงทุ่นและเงินปันผลกำไรได้ 610 บาทในครั้งที่ 2 และ 3 เป็นเงิน 1,800 บาท และ 2,499 บาท  ถอนเงินลงทุนและเงินปันผลกำไรในแต่ละครั้งกลับเข้าบัญชีที่ผูกไว้กับระบบได้เป็นเงิน 2,070 บาท และ 3,080 บาท    ในครั้งที่ 4 เป็นเงินลงทุน 3,888 บาท ซึ่งจะได้เงินทุนและเงินปันผลกำไรคืนเป็นเงิน 5,054 บาท ซึ่งระหว่างระบบรอรับยอดเข้า ทาง คนร้ายได้แจ้งว่า ขณะนี้มีลูกค้าจำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกท่าน คนร้ายทำภารกิจงานคู่ระดับเดียวกัน  พอทำภาระกิจคู่ไปแล้ว ในครั้งที่ 4 ก็ไม่สามารถถอนเงินได้ ต้องทำภาระกิจต่อโดยการลงทุนเป็นเงิน 8,888 บาท…

ทนายตั้ม ไม่มั่นใจ คณะกรรมการชุดนายก หวั่นฟอกขาวให้ บิ๊ก ตร.วันนี้(10 เม.ย. 67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ พร้อม น.ส.พิมพ์วิไล และ สายลับ เดินทางเข้าไปให้ข้อมูลกับ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ สโมสรราชพฤกษ์   ทนายตั้ม กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางเข้าให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่นายกแต่งตั้งขึ้น โดยเอกสารหลักฐานและพยานเป็นชุดเดียวกันกับที่เคยมอบให้ที่อื่นๆก่อนหน้านี้  พร้อมกับยอมรับว่าไม่ค่อยมั่นใจกับกรรมการชุดนี้ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นที่ฟอกขาวหรือเอื้อประโยชน์ให้กับนายพลตํารวจระดับสูงคนดังกล่าว ซึ่งต่างจากคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ของ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม และ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ที่ตนรู้สึกมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซงได้ โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อทําให้ความจริงปรากฎ  ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่คณะกรรมการชุดนี้ชี้มูลความผิดอย่างรวดเร็วนั้น ทนายตั้ม ระบุว่า ตนก็อยากให้เรื่องของตนปรากฏต่อสาธารณชนโดยเร็วเช่นกัน เนื่องจากยื่นหลักฐานให้ครบทั้งหมดแล้ว   โดย ทนายตั้ม ยืนยันว่า ตนไม่ได้มาในฐานะพยานฝ่าย พล.ต.อ.สุชเรษฐ์ หรือฝ่ายใดทั้งสิ้น แต่มาในฐานะพลเมืองดีที่แจ้งความดําเนินคดีกับนายพลตํารวจระดับสูง ในความผิดฐาน “ร่วมกันฟอกเงิน”  ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ที่นายกแต่งตั้งเป็นคนเรียกให้ตนเข้ามาพบเองเพื่อขอข้อมูล และส่วนตัวคิดว่าผลคงออกมาในทํานองว่า “หลักฐานไม่ถึง และหลักฐานที่ทนายตั้มมีไม่ใช่เอกสารที่มาจากราชการ แบบนี้ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับกระทําความผิดได้“ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าแบบนี้ทนายตั้มกล่าวปรามาสคณะกรรมการชุดนายกแต่งตั้งหรือไม่ ทนายตั้มตอบทันทีว่า “ปรามาสครับ ผมปรามาสชัดเจน“    นอกจากนี้ ทนายตั้ม ยังกล่าวต่ออีกว่า ทางคณะกรรมการได้สอบถามถึงเรื่องรีสอร์ท ที่เขาใหญ่ ว่าใครเป็นเจ้าของ ซึ่งตนบอกไปว่ามีคลิปหลักฐานที่ภริยาของนายพลตํารวจระดับสูงนายนี้ระบุว่าเป็นเจ้าของรวมถึงหลักฐานเส้นเงินการจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างให้กับบริษัทต่างๆ 3 ถึง 4 บริษัท ในการสร้างรีสอร์ทแห่งนี้   ขณะที่เวลาประมาณ 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เดินทางมาให้ข้อมูลกับคณะกรรมการชุดที่นายกแต่งตั้ง ที่ สโมสรราชพฤกษ์ ท่ามกลางที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆต่อสื่อมวลชน

ดราม่ากว่าละคร! เมียหลวงเปิดภาพแฉ ผัวคบชู้ต่างด้าว ดาวติ๊กต็อกคนตาม 2 ล้าน  วันที่ 10 เม.ย. 67 นางสุภาภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี อาชีพแม่บ้าน ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับดร.ชัยเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ หรือดร.แก้ว ประธานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) จังหวัดนนทบุรี ว่าถูกสามีคือนายศิระ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ที่อยู่กินกันมากกว่า 20 ปี ตั้งแต่ปี 2544 (บ้านหลังที่ 1 ต.ปากเกร็ด) มีลูกด้วยกัน 2 คน แอบมีชู้เป็นสาวลาวดาวติ๊กต็อก ผู้ติดตามเกือบ 2 ล้าน ซึ่งมาจับได้ว่าสามีมีชู้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 จึงขอเคลียร์แต่ชู้ไม่ยอมเลิก สามีไม่พอใจจึงเก็บกระเป๋าออกจากบ้าน โดยมีแม่สามี อายุ 74 ปี คอยสนับสนุน ยุยงส่งเสริมให้ทิ้งครอบครัวไปอยู่กับชู้อย่างเปิดเผย หลังจากนั้นก็มีปัญหาครอบครัวมาตลอด จนเกิดการทะเลาะวิวาทอย่างหนัก มีการทำลายโทรศัพท์มือถือ และทำร้ายร่างกายนางสุภาภรณ์จนได้รับบาดเจ็บ เข้าแจ้งความที่สภ.ปากเกร็ด ตั้งแต่ 30 ม.ค. 2563 แต่คดีไม่มีความคืบหน้า มิหนำซ้ำยังถูกสามีฟ้องหย่า จนนางสุภาภรณ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า วันนี้จึงเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมให้ดร.แก้วเช้าช่วยเหลือ ดังนี้ 1.ต้องการทนายแย้งเรื่องที่โดนฟ้องหย่า 2.คดีทำร้ายร่างกายไม่มีความคืบหน้า และ 3.ดำเนินคดีเรื่องถูกทำร้ายกาย      นางสุภาภรณ์ (ผู้เสียหาย) กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมกับดร.แก้ว เนื่องจากถูกแม่สามีและสามีทำร้ายร่างกาย ตอนนี้คดีไม่คืบหน้า แถมตนยังได้รับหมายศาลเรื่องฟ้องหย่าจากสามี ตนรู้ว่าสามีมีชู้เป็นสาวลาวดาวติ๊กต็อก ผู้ติดตามเกือบ 2 ล้าน เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2562 ซึ่งสามียืนยันจะไปอยู่กินกับชู้ และไม่กลับมาเป็นครอบครัวกับตน แม่สามีก็สนับสนุนให้สามีมีชู้ด้วย ปัจุจุบันได้มีการไปซื้อบ้านหลังใหม่ (บ้านหลังที่ 3) อยู่ร่วมกันที่ย่านอ.บางบัวทอง อย่างเปิดเผย ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ตนจับได้เนื่องจากครอบครัวตนมีบ้าน 2 หลัง (บ้านหลังที่ 1 ที่อยู่ปัจจุบัน ต.ปากเกร็ด และบ้านหลังที่ 2 อยู่ที่ต.บ้านใหม่) พอเกิดเรื่องสามีและแม่ของสามีได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังที่ 2 ซึ่งตนเคยเห็นว่ารถยนต์ของชู้จอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังดังกล่าวผ่านกล้องวงจรปิดของหมู่บ้าน ตนจึงตัดสินใจชวนลูกสาวไปดูด้วยตัวเอง แต่สวนทางกันทำให้ตนเจอแต่แม่สามีที่อยู่ในบ้านหลังนั้น จากนั้นตนพยายามเดินหารอบบ้าน แม่สามีได้เข้ามาตบตีตน ตนจึงหนีลงมาด้านล่างและแม่สามีจึงถีบตนตกบันไดทำให้ตนได้รับบาดเจ็บ ซักพักสามีได้กลับมาและร่วมทำร้ายร่างกายตน เข้ามาตบที่ศีรษะ และดึงผม ก่อนสามีจะขับรถหนีไปกับชู้ ขับรถเข้าไปในโรงเรียนของหน่วยงานทหารแห่งหนึ่งแถวถ.ติวานนท์ ตนจึงขับรถตามและได้มามีปากเสียงอีกครั้ง จากนั้นจึงมีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเหลือเพราะตนถูกสามีตบตี เพื่อปกป้องชู้ และหักโทรศัพท์มือถือตนทิ้ง ต่อมาสายตรวจได้เข้ามาห้ามและไปไกล่เกลี่ยกันที่สถานีตำรวจ ซึ่งตนได้แจ้งความเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2563 แต่คดีไม่คืบ วันนี้ตนกลับได้รับหมายศาลเรื่องฟ้องหย่าจากสามี จึงอยากให้ดร.แก้วช่วยหาทนายมาสู้คดี เพราะตนเป็นแม่บ้านไม่มีอาชีพและไม่มีรายได้ มีลูก 2 คน คนโต อายุ 22 ปี คนเล็ก อายุ 18 ปี ตลอดเวลาตนทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกและไม่รู้เลยว่าสามีแอบมีชู้ จนย้ายไปอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย ตนลำบากมากเพราะต้องเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 คน ค่าใช้จ่ายทุกอย่างราคาสูงขึ้น สามีให้ค่าเลี้ยงดูลูกคนโต 8,000 บาท คนเล็ก 3,000 บาท แต่ก็ยังไม่พอ ตอนนี้ตนอยากให้สามีเลิกกับชู้อย่างเด็ดขาด ตนยืนยันที่จะไม่หย่าเพราะไม่ได้ผิด ถ้าจะหย่าก็ต้องจ่ายในราคาที่สูง ตนรักสามีและอยู่กินด้วยกันมานาน ตนอยากบอกกับสามีว่าก่อนที่จะคบกันเคยสัญญาอะไรกันไว้บ้าง แล้วมาทำร้ายกันแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ลูกมีปัญหาและตนกับลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หากสามีไม่เลิกยุ่งกับชู้ตนจะฟ้องร้อง แต่ถ้าเลิกกันตนก็จะยอมจบ ซึ่งชู้ของสามีเป็นต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย      ดร.แก้ว กล่าวว่า วันนี้ผู้เสียหายได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับตน เพราะเดือดร้อนในเรื่องปัญหาครอบครัว และอยากให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความที่ถูกสามีและแม่สามีทำร้ายร่างกายแล้วไม่คืบหน้า และล่าสุดยังถูกสามีฟ้องหย่า ซึ่งปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมที่เกิดขึ้น คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ยุ่งยาก อยู่ระหว่างดำเนินการในแต่ละขั้นตอนให้มีทางออกที่ดี      ระหว่างช่วงที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว นางสุภาภรณ์ได้โทรหาสามี ซึ่งยืนยันว่าจะเลิกและขอเจรจาที่ศาลเท่านั้น และได้โทรติดต่อสาวลาวดาวติ๊กต็อก ที่เป็นชู้กับสามีของนางสุภาภรณ์ ซึ่งมีการโต้เถียงกัน โดยชู้คนดังกล่าวได้บอกว่าให้นางสุภาภรณ์บอกสามีตัวเองว่าให้เลิกยุ่ง และบ้านหลังที่ 3 ย่านบางบัวทอง สาวลาวเป็นคนซื้อเอง ไม่ใช่บ้านที่แม่สามีของนางสุภาภรณ์ซื้อ และได้มีการหัวเราะเยาะก่อนจะวางสายไป

“อนันต์ชัย” แจ้ง เอาผิด ม.157 อดีตเจ้าอาวาสวัดสีชมพูยักยอกเงินวัดจากกรณี พระครูปริยัตยาคม เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง เจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์ ได้มอบให้นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ/ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ให้เป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดในที่ธรณีสงฆ์ และช่วยดูแลจัดประโยชน์จัดระเบียบในวัดทั้งหมด รวมถึงกิจการทั้งหมดของวัดทวีการะอนันต์ ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ล่าสุด เวลา 10.00 น. วันที่ 10 เม.ย.67 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.น่ยอนันต์ชัย เข้าพบ พ.ต.ท.จตุภูมิ รักษาภักดี รอง ผกก.(สอบสวน) กก.4 บก.ปปป. แจ้งความดำเนินคดีกับ พระฐิติศักดิ์ สุภฺทโท หรือพระครูธรรมธรฐิติศักดิ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดทวีการะอนันต์ และผู้ที่เกี่ยวข้องประมาณ 7 คน ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ,157 ,161 ,162 ประกอบด้วยมาตรา 83 ,64 เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันทำเอกสารปลอม และเอกสารเท็จ  ทั้งนี้ในเวลาต่อมา นายณรงศักดิ์ วงษ์สังวาล ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพระฐิติศักดิ์ สุภทฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัด ได้นำบัญชีรายรับ-รายจ่ายย้อนหลัง 10 ปี ยืนยันเงินกว่า 100 ล้านบาท นำไปพัฒนาวัด ส่วนเงินที่ยืมโยมอุปัฏฐาก 5 ล้านบาท อ้างนำไปจัดงานวัดปี 2566 ไม่ได้ยักยอกไปใช้ส่วนตัวโดยทาง พระฐิติศักดิ์ อดีตเจ้าอาวาส ได้ขอโทษ กรณีพูดว่าพระทุกรูปสาวหนอน ยอมรับว่าโมโห ลั่นไม่สึก หลังจากนี้ พระฐิติศักดิ์ จะขอไปอยู่ปริวาสกรรม เพื่อลบล้างสิ่งที่ทำพลาดไป และให้เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการข่มขู่ ทำร้ายตามที่มีผู้กล่าวอ้างว่าทำตัวเป็นพระมาเฟีย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งก่อนสอบปากคำผู้ร้องเพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อสส.เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดี ม.112 ‘ทักษิณ’ ไป 29 พ.ค. ยังสอบสวนเพิ่มเติมไม่ครบทุกประเด็นนายประยุทธ เพชรคุณ  (เพ็ด ชะ ระ คุน)  รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด , พร้อมด้วยรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์, นายณรงค์ ศรีสันต์, นายจิตภัทร พุ่มหิรัญ  ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาตาม ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  โดยนายประยุทธกล่าวว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ 67 นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้สอบสวนในคดีนี้เพิ่มเติม เพื่อให้สิ้นกระแสความ และได้ให้พนักงานสอบสวนส่งรายงานการสอบสวนเพิ่มเติมมาภายในวันที่ 10 เมษายนนั้น วานนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมมาเพียงบางประเด็นเท่านั้น ยังไม่ครบถ้วนทุกประเด็น ดังนั้นอัยการสูงสุดจึงยังไม่อาจมีความเห็นหรือคำสั่งในทางคดีได้  จึงได้เลื่อนการฟังคำสั่งในคดีนี้อีกครั้งไปเป็นวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 เวลา 09:00 น.  ซึ่งวานนี้เวลา 16:00 น. ได้แจ้งผลไปยังนายทักษิณแล้วว่าผลการสอบยังไม่ครบถ้วน และวันนี้นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เดินทางมาที่อัยการสูงสุดเพื่อรับทราบคำสั่ง แต่ได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจมารับทราบคำสั่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว  ยืนยันว่า กรณีการเลื่อนฟังคำสั่งนั้น มี 2 กรณี คือ เกิดจากเรื่องเพราะเหตุฝั่งหน่วยงานราชการ และเลื่อนเพราะเหตุปัจจัยของฝั่งผู้ที่ต้องมารับทราบนัด ซึ่งกรณีในวันนี้เป็นเหตุขัดข้องจาก หน่วยงานราชการที่งานของกระบวนการยุติธรรมยังไม่แล้วเสร็จ ยืนยันว่าเป็นกระบวนการปกติ   สำหรับประเด็นที่อัยการสูงสุดได้สั่งสอบเพิ่มเติมนั้น  ยังคงไม่สามารถเปิดเผยได้ละเอียดได้ แต่มีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 70 - 80 ซึ่งเป็นการสอบถ้อยคำกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการอีกร้อยละ 30  นั้น เป็นการดำเนินการด้านเอกสาร หรือด้านอื่นๆเกี่ยวกับผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญต่างๆ และหากพนักงานสอบสวนได้ส่งประเด็นการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนก่อนวันที่ 29 พฤษภาคมนี้คาดว่าไม่น่าจะมีเหตุขัดข้องให้ต้องเลื่อนการฟังคำสั่งในคดีออกไปอีก ด้านนายณรงค์  ศรีสันต์ อัยการพิเศษฝ่ายแผนช่วยเหลือทางกฎหมาย กล่าวว่า สำหรับแนวทางการปฏิบัติของผู้ต้องหาหลังจากทราบวันนัดต่อไปแล้ว ผู้ต้องหาจะต้องมารายงานตัวด้วยตนเอง หากไม่มาต้องยื่นคำร้องเพื่อขอเลื่อนการรับฟังคำสั่งของพนักงานอัยการ พร้อมแสดงเหตุผลความจำเป็นเพื่อให้หัวหน้าอัยการใช้ดุลยพินิจว่ามีเหตุควรอนุญาตให้เลื่อนหรือไม่ หากไม่มีจะให้พนักงานสอบสวนติดตามตัวออกหมายจับเพื่อมาฟังคำสั่งในคดีต่อไป นอกจากนี้ หากกระบวนการสั่งคดีของอัยการยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายเช่น การสอบสวนเพิ่มเติมไม่แล้วเสร็จ ผู้ต้องหาสามารถมอบหมายให้นายประกัน ญาติ หรือทนายความ เพื่อมารับฟังคำสั่งเลื่อนของอัยการได้ ซึ่งเหมือนกับผู้ต้องหามาขอเลื่อนด้วยตนเองแต่หากภายหลังมีการผิดนัดผิดสัญญาประกัน ก็สามารถดำเนินการบังคับตามสัญญาประกันได้   ขณะเดียวกัน หากในวันนัดฟังคำสั่งครั้งแรกแรกผู้ต้องหาได้เดินทางมาฟังคำสั่งฟ้องด้วยตัวเองแต่ ไม่ได้เตรียมหลักทรัพย์การประกันตัวมา ผู้ต้องหาสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยื่นคำร้องเลื่อนการส่งตัว เพื่อเตรียมหลักประกันชั้นศาลก่อนได้ยืนยันว่าเป็นกระบวนการตามปกติในการควบคุมตัว

ตร.สายไหม รวบทันควัน หนุ่ม 17 รัว 3 นัดใส่อริเจ็บ หลังนัดเคลียปมชอบสาวคนเดียวกันไม่ลงตัวเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 เม.บ. พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 ได้รับรายงาน พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์  ผกก.สน.สายไหม พร้อม พ.ต.ท.ดิษยเดช ยิ้มแย้ม รอง ผกก.สส.สน.สายไหม พ.ต.ท.นุกูล กิ่งเกล้า สวป.สน.สายไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สายไหม ร่วมจับกุมตัว นายพีรพัฒน์ หรือพัฒน์ อายุ 17 ปี พร้อมของกลาง อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 2 นัด และ ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 2 ปลอก โดยจับได้ที่บริเวณสนามเด็กเล่นหมู่บ้านมารวย 2 ถนนวัดเกาะ แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯ เมมื่อเวลา 21.40 น.( 9 เม.ย.) ที่ผ่ายมา จากแนวทางการสืบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุนายศิริมงคล อายุ 17 ปี ผู้บาดเจ็บ พร้อมพวกได้นัดหมายกับนายพีรพัฒน์ หรือพัฒน์ อายุ 17 ปี เพื่อมาพูดคุยเจรจาหลังเคยมีปากเสียงกันเพราะชอบสาวคนเดียวกัน แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง  นายพีรพัฒน์ จึงได้ใช้อาวุธปืน ขนาด 9 มม. ยิงไปที่นายศิริมงคล จำนวน 3  นัด จนได้รับบาดเจ็บ กระสุนเข้าที่บริเวณโคนขาด้านซ้าย จำนวน 1 แผล และที่บริเวณมือซ้าย จำนวน 1  แผล ถูกนำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช  ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและลงพื้นที่หาข่าวจนทราบจนสามรถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ทันควัน โดยนายพีรพัฒน์ ยอมรับเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิง นายศิริมงคล ได้รับบาดเจ็บจริง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา พยายามฆ่า , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ขนาด  9 มม. ไว้ในความครองครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณถโดยเปิดเผย  หรือโดยไม่มีเหตุสมควร , ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิด โดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน  หรือที่ชุมนุมชน ก่อนตัวผู้ต้องหา พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.สายไหม ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

สืบนครบาล ประสานสืบตรัง – ภาค7 ปฏิบัติการ “จับม้าเข้าคอก” ระดมจับบัญชีม้า 8 ราย ดำเนินคดี  นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร.  ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์  ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการฉ้อโกลหลอกลวงประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึง บัญชีม้า ที่เป็นโรคระบาดเชื้อร้ายทำร้ายความสงบสุขของประชาชนในสังคมในวงกว้าง               เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.ฯ, พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี, พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ  นำโดย พ.ต.ท.พิทักษ์ ศรีกะแจะ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ  พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อม ชุดปฏิบัติการที่ 3 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กก.สส.1 ,กก.วิเคราะห์ข่าวฯ สืบนครบาล ร่วมกับ สืบจังหวัดตรัง สืบภาค7 จับผู้ต้องหาบัญชีม้า 8 ราย 13 หมายจับ ดังนี้           1. น.ส.นิศาชล หรือพลอยชมพู  อายุ 21 ปีภูมิลำเนา ต.พระเเท่น อ.ท่ามะกา จว.กาญจนบุรี ตามหมายจับศาลจังหวัดตรังที่ จ.31 / 2567   ลงวันที่ 6 ก.พ. 2567         ข้อหา"ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่จะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน"           สถานที่จับกุม บริเวณหน้าร้าน TMK สุกี้ ซาบู ม.๙ ต.ดอนขมิ้น อ.ท่ามะกา จว.กาญจนบุรี       นำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.เมืองตรัง         2. นายวีรพงศ์ อายุ 21 ปีภูมิลำเนา ต.บางรัก อ.เมืองตรัง จว.ตรังตามหมายจับของศาล จว.ปราจีนบุรี ที่ จ.82/2565 ลงวันที่ 22 มี.ค.65         ข้อหา "ร่วมกันหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน "  นำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.ศรีมหาโพธิ         3.นายอภิรักษ์  อายุ 20 ปีภูมิลำเนา ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล จว.สตูลตามหมายจับของศาลจังหวัดปราจีนบุรี ที่ จ.71/2565 ลงวันที่ 22 มี.ค. 65        ข้อหา"ร่วมกันโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน "  นำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.ศรีมหาโพธิ         4. น.ส.จันทร์วลัย อายุ 20…

ระทึก! ไฟไหม้ชุมชนแสงทองติดปั๊มน้ำมัน วอด 3 หลัง ไร้เจ็บ-ตายเมื่อเวลา 23.50 น.วันที่ 9 เม.ย.พนักงานสอบสวน สน.บางพลัด รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 89 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางอ้อ อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และอาสาร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุเป็นชุมชนแสงทอง อยู่ด้านหลังติดกับปั๊มน้ำมันซัสโก้ ริมถนนจรัญ ฯ ลักษณะเป็นไม้ปลูกติดกัน รวม 15 หลัง ความสูงชั้นเดียว พบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งจำนวนมาก เพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องทยอยนำสายฉีดน้ำลำเลียงเข้าไปภายในซอยอย่างทุลักทุเล เนื่องจากซอยคับแคบ รถดับเพลิงไม่สามารถเข้าด้านในได้ จึงระดมฉีดน้ำ โดยใช้เวลากว่า 30 นาที จนสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เพลิงสงบ ตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น ประมาณ 3 หลังคาเรือนถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ  เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบหากล้องวงจรปิด และเชิญพยานผู้เห็นเหตุการณ์ไปสอบปากคำ พร้อมกับประสานให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตร.เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป

พระพยอมชี้พระขอค่าเจิมงานบุญ ลำบากแค่ไหน ทำไมต้องคิดค่าตัวแพง  จากกรณีเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 6 โพสต์ภาพพร้อมระบุข้อความว่า “ใส่สบงแล้วทรงขอค่าเจิม พระคุณท่านบอกมีค่ารถในการไปซื้อแผ่นทอง…แต่ที่งานออแกไนซ์จัดเตรียมให้หมดแล้ว พระคุณท่านไปแต่ตัวเท่านั้น...มุสาแถมันบาปนะพระคุณท่าน พระยังแถ.ลงอยู่เลยครับ ว่าเงินที่เก็บค่าธรรมเนียมเป็นค่าไปซื้อแผ่นทอง แต่จริงๆแล้วทางร้านที่จัดงานมีเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ขอบคุณภาพข่าว”      เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 เม.ย. 67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามกรณีดังกล่าวกับพระราชธรรมนิเทศ หรือพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ถึงความเหมาะสมของพระรูปหนึ่งที่เรียกเก็บค่าเจิม หลังจากที่ญาติโยมได้นิมนต์ให้ไปงานบุญขึ้นบ้านใหม่      พระพยอม กล่าวว่า ผู้ที่เดินตามรอยพุทธองค์จะไม่พะวงกับตัวเลขที่ได้หรือมาก เพราะบางครั้งมักผลนิพพานที่สอนให้ฟรี พระพุทธเจ้าไม่มีค่าคอร์ส ถ้าพระรูปนั้นมีใจฟูๆแฟบๆกับการได้น้อยได้มาก ถือว่าไม่ใช่พุทธสาวกของพุทธเจ้า แต่เป็นพญามารผีเปรตที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระศาสนา จึงคิดแต่แบบนั้น ทำไมไม่คิดในญาติโยมเป็นสุขบ้าง มาอยู่ที่วัดใครจะมาขออะไรถ้าทำให้เขาเป็นสุขได้ บางเรื่องท่านผู้รู้รู้แล้วคงขำ แต่เราก็ต้องกระทำ เช่น เด็กมาก้มหัวอยากให้เป่า เราก็ทำด้วยสติปัญญา เอามือแตะหัวแล้วพูดว่า “ไม่ดื้ออย่างเดียว ทุกอย่างดีหมด เพี้ยง” จะเสก จะเป่า จะเจิม ไม่ควรคิดราคา นั่นคือพุทธะสาวกของพระพุทธเจ้าจริง หรือให้ก็ไม่เอา แต่จะทำให้เขามีความสุข ความกรุณา ความสงสาร อย่างนี้เรียกว่าพุทธแท้ ดังที่พระพุทธเจ้าเคยพูดว่า “ประพฤติพรหมจรรย์จนน้ำตานองหน้า เพราะมันลำบาก” นี่แค่ไปเจิมลำบากแค่ไหน ทำไมต้องคิดค่าตัวแพงขนาดนั้น ดารานักร้องคิดค่าตัวแพงก็มี ค่าตัวฟรีก็มี เป็นพระหัดเล่นบทกรุณาให้ญาติโยมมีความสุขบ้าง