‘สารวัตรแจ๊ะ’ ตามหา ‘กุมารแพทย์หญิง’ ผู้ช่วยชีวิตทารกน้อยผ่านทางโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีที่แล้ว ให้กลายมาเป็นตำรวจนครบาลในวันนี้ วินาทีพบหน้า ก้มกราบน้ำตาคลอ

‘สารวัตรแจ๊ะ’ ตามหา ‘กุมารแพทย์หญิง’ ผู้ช่วยชีวิตทารกน้อยผ่านทางโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีที่แล้ว ให้กลายมาเป็นตำรวจนครบาลในวันนี้ วินาทีพบหน้า ก้มกราบน้ำตาคลอ

‘สารวัตรแจ๊ะ’ ตามหา ‘กุมารแพทย์หญิง’ ผู้ช่วยชีวิตทารกน้อยผ่านทางโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีที่แล้ว ให้กลายมาเป็นตำรวจนครบาลในวันนี้ วินาทีพบหน้า ก้มกราบน้ำตาคลอ

.

“เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที

.

“ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล” พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน”แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

.

“สายสุดท้าย” ปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1994 พ่อรายงานอาการของทารกน้อยให้หมอวันดีฟังอย่างเช่นทุกๆวัน ก่อนเสียงปลายสายของหมอตอบกลับ “ยินดีด้วยนะลูกคุณหายแล้ว” ภาพไซส์งานเบื้องหน้าพ่อของทารกน้อยขาวโพลนทันใด เสียงเงียบก็เข้าครอบคลุมสายโทรศัพท์ทั้งสองฝ่าย เข้าสู่อารมณ์เอ่อล้นที่ยากจะพรรณนา แม้สัมผัสได้แต่เพียงเสียงปลายสาย แต่ภาพมรสุมกว่า 3 เดือนไล่ย้อนไปเป็นฉากๆ จนปากพูดอะไรไม่ออก “ผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง” ไม่เพียงไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า และหมอท่านนี้ก็ไม่ได้แม้แต่ผลตอบแทนใดๆ แล้วจากไปด้วยคำทิ้งท้ายสั้นๆ “ดูแลลูกให้ดี ขอให้โตมาเป็นเด็กดีนะ ขอให้โชคดี”และสายก็ถูกตัดไป แต่เสียงยังตราตรึงใจ ไม่รู้ลืมไปตลอดกาล

“กระดาษโน้ตความทรงจำ” รายละเอียดการรักษาพ่อยังคงเก็บไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแสนนาน จนเด็กทารกน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นย่างเข้าวัย 32 ปี ระหว่างกลับไปเยี่ยมพ่อของเขาในช่วงวันหยุด ก่อนจะสะดุดสายตากับกล่องพิลึกพิลั่นในห้องของพ่อ เปิดออกมาดูพบกระดาษโน้ตเก่าๆหลายแผ่นชวนฉงนใจ “พ่อ..พวกนี่คืออะไร” หลังพ่อได้เห็นกระดาษโน้ตเก่าความทรงจำในอดีตพรั่งพรูก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวอันสุดมหัศจรรย์กับการชุบชีวิตทารกน้อย ผ่านสายโทรศัพท์ของหมอเทวดาท่านหนึ่ง “หมอวันดี โรงพยาบาลรามา” พ่อเอ่ยชื่อก่อนทิ้งท้าย “ตอนนี้อยู่ไหนแล้วพ่อไม่รู้นะ น่าจะอายุมากแล้ว” จะทันไหมนะ ทารกน้อยในวัยหนุ่มครุ่นคิดในใจ

“ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

.

เขาออกตระเวนถามหาบ้าน จนมาถึงหน้าบ้านเก่าๆ สุดสมถะ บรรยากาศเงียบสงบ

.

“มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก หญิงชราเดินออกมาจากประตูบ้านด้วยใบหน้าสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาทำให้ทารกน้อยในวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้น ก้มลงกราบโดยอัตโนมัติ ก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้ไหม ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปีก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน๊ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย”

.

หมอวันดีหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของฉันจริงๆ ด้วย ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยในวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว”

.

เรื่องเล่าของทารกน้อยจากแดนไกลคนนี้ ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ที่เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆ แอดๆ และแพทย์ใน จ.พิษณุโลก วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห้งใกล้เสียชีวิต แท้จริงเป็นโรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น

.

สารวัตรแจ๊ะ ได้รับการรักษาจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.วันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” โดยได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทราย จนทำให้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี 1993…!!!

.

ขอบคุณที่มา Sirisak Borisutsawat 

https://www.facebook.com/pisitceo.tkd/posts/1204725070991546?ref=embed_post

.

#คนข่าวอาชญากรรม #คนข่าวออนไลน์ #ห้องสืบ_The_Cop_S #Cop_s_Magazine #สมาคมฅนข่าวอาชญากรรม #สมาคมฅนข่าวออนไลน์ #ขยี้ข่าวออนไลน์

คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com

ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

CHANGE LANGUAGE
Powered by
คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com
ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ
บริการของเรา
รูปภาพของเรา
ที่ตั้งของเรา
บัญชีชำระเงิน

คนข่าวออนไลน์ khonkhao.com

ตีแผ่ ทุกเรื่องราว เจาะลึกทุกความจริง ช่วยเหลือทุกพื้นที ด้วยทีมข่าวมืออาชีพ

แชร์หน้านี้
โหลดหน้าใหม่
คัดลอกลิงก์